การสมัครมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ (อเมริกา, อังกฤษ, เนเธอแลนด์)


สมัครมหาวิทยาลัยในประเทศสหรัฐอเมริกา


1. เลือกประเทศที่เราต้องการเดินทางไปศึกษาต่อ - - - เช่น เราเลือกไปเรียนต่อที่สหรัฐอเมริกา  


2. ศึกษาข้อมูลด้านการศึกษาต่อจากหลายๆ แหล่ง อาทิ


    2.1 เข้าร่วมนิทรรศการศึกษาต่อสหรัฐอเมริกาของก.พ.หรือ สถาบันการศึกษานานาชาติ  IIE ซึ่งจะมีมหาวิทยาลัยหลายแห่งมาจัดบู๊ทเพื่อให้ข้อมูล แผ่นพับ ใบสมัคร โบรชัวร์เกี่ยวกับมหาวิทยาลัยแห่งนั้น และบางทีจะมีเจ้าหน้าที่แนะแนว, อาจารย์, คณบดีมาให้เราได้พบปะพูดคุยซักถามเกี่ยวกับหลักสูตรที่เราสนใจด้วย


    2.2 ดูข้อมูลการจัดอันดับของสาขาที่เราต้องการไปศึกษาต่อ เช่น U.S. News Ranking (//www.usnews.com) หัวข้อ Education ระดับป.โทและป.เอกไปดูที่คอลัมภ์ Best Graduate Schools เลือกดูสาขาที่เราสนใจแล้วลองทำ list ดูว่ามีมหาวิทยาลัยไหนที่เราสนใจบ้าง


ภาพรวมของขั้นตอนนี้คือ พิจารณาว่าเราอยากไปอยู่อาศัยในภูมิภาคใดของประเทศ จะไปรัฐไหน หรือเมืองอะไรดี ซึ่งจะมีข้อพิจารณาบางอย่างประกอบการตัดสินใจ เช่น


- ด้านภูมิอากาศ เราชอบเมืองที่มีอากาศหนาวเย็น หรือชอบเมืองที่มีอากาศอบอุ่น มีแดดตลอดทั้งปี ชอบเมืองที่มีหิมะหรือเมืองร้อนแห้งแล้งแบบทะเลทราย


- การเดินทางไปเรียนหรือเดินทางไปในที่ต่างๆ จะไปยังไง เมืองที่เราอยู่มีความจำเป็นที่จะต้องมีรถยนต์ส่วนตัวหรือไม่ มีระบบขนส่งสาธารณะที่เดินทางได้อย่างสะดวกหรือไม่ เช่น รถเมล์ รถราง รถไฟฟ้า


- บรรยากาศหรือสภาพแวดล้อมของเมืองนั้นเป็นอย่างไร เราชอบเมืองเล็กหรือเมืองใหญ่ ชอบเมืองเงียบๆ แถวชานเมือง หรือชนบท หรือชอบเมืองเศรษฐกิจที่มีผู้คนคับคั่ง


- ค่าครองชีพของเมืองนี้ถูก หรือแพง


มีผู้แนะนำว่าไม่ควรยึดถือการจัดอันดับของหนังสือพิมพ์/นิตยสาร/เว็ปไซต์มากนัก เพราะมหาวิทยาลัยบางแห่งที่ไม่ติดอันดับอาจจะเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีมากๆ และน่าเรียนมากๆ ก็ได้ หากรู้จักรุ่นพี่ หรืออาจารย์ที่เป็นศิษย์เก่าของมหาวิทยาลัยแห่งนั้นก็ควรสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมด้วย


3. ศึกษาข้อมูลของหลักสูตรแต่ละมหาวิทยาลัยทางเว็ปไซต์ เช่น โปรแกรมการศึกษาเป็นอย่างไร เรียนกี่หน่วยกิต ประมวลรายวิชา (Course Syllabus) เป็นอย่างไร วิชาหลักที่ต้องเรียนมีอะไรบ้าง มีวิชาเลือกที่เราสนใจอยากจะเรียนให้เลือกหลากหลายหรือไม่ เกณฑ์คุณสมบัติของผู้สมัครที่มหาวิทยาลัยกำหนด (เช่น GPA. , ผลสอบ TOEFL และ GRE, จะต้องมีประสบการณ์การทำงานอย่างน้อยกี่ปี เป็นต้น) กำหนดการปิดรับสมัคร (ส่วนใหญ่จะปิดรับสมัครในช่วงเดือนพฤศจิกายน - ต้นเดือนกุมภาพันธ์) 


4. เลือกมหาวิทยาลัยที่เราต้องการสมัครไว้ 4-5 แห่ง (ผลสอบ TOEFL และ GRE หน่วยงานทดสอบของETS จะจัดส่งให้ฟรีไปยังมหาวิทยาลัย 4 แห่ง) 


มีผู้แนะนำว่าควรสมัครมหาวิทยาลัยต่างๆ ไว้ในจำนวนที่มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ อย่างน้อยก็ควรสมัครไปสัก 6-8 แห่ง แต่อย่าลืมว่าการสมัครมหาวิทยาลัยในอเมริกาจะต้องเสียค่าสมัคร ค่าส่งผลสอบ TOEFL และ GRE และค่าส่งเอกสารประกอบการสมัครด้วย ยิ่งสมัครมาก ยิ่งเสียตังค์มากนั่นเอง...


ประสบการณ์ส่วนตัว ในใจเราเลือกไว้เพียง 1 แห่ง คือ University of Illinois at Chicago เพราะหลักสูตรน่าเรียน นอกจากวิชาหลักแล้วยังมีวิชาสำหรับสาขาเฉพาะทางให้เลือก อีกทั้งเมืองชิคาโกเองก็เป็นเมืองใหญ่ที่น่าอยู่ บรรยากาศและสิ่งแวดล้อมดูดี สถาปัตยกรรมสวยงาม การเดินทางสะดวกสบายเพราะมีรถไฟฟ้าใต้ดินหลายสาย แถมยังติดแร้งค์ได้อันดับที่ 8 ในสาขา City Management ด้วย แต่พอมาคิดดูอีกทีก็สมัครเพิ่มอีก 2 แห่งไปในคราวเดียวกัน คือ University of Georgia และ University of Delaware


5. รวบรวมเอกสารประกอบการสมัครให้ครบตามข้อกำหนดของแต่ละมหาวิทยาลัย อ่านรายละเอียดต่างๆ ให้เข้าใจชัดเจน หากมีข้อสงสัยควรเขียนอีเมล์ไปถามผู้ประสานงานของภาควิชา ในที่นี้ขอยกตัวอย่างเอกสารที่เราจัดส่งไปยัง University of Illinois at Chicago (กำหนดปิดรับสมัคร 15 กุมภาพันธ์ แต่เราส่งเอกสารโดย DHL ประมาณวันที่ 26 มกราคม) ซึ่งมีดังนี้


ขั้นตอนที่ 1 กรอกใบสมัครออนไลน์ตามฟอร์ม Graduate College Application  และจ่ายเงินค่าสมัครผ่านบัตรเครดิต 60 USD


ขั้นตอนที่ 2 แยกเอกสารที่จะจัดส่งไปยัง The Office of Admissions and RecordsGraduate International Admissions ดังนี้


1Official transcripts ทรานสคริปต์ฉบับจริงทั้งระดับป.ตรีและป.โท (ถ้ามี) ใส่ซองจดหมายที่มีตรามหาวิทยาลัย ปิดผนึก และให้เจ้าหน้าที่ของมหาวิทยาลัยประทับตรามหาวิทยาลัยพร้อมกับเซ็นต์ชื่อด้านหลังซอง


2) Financial statement เป็นแบบฟอร์มของมหาวิทยาลัยและให้ส่งหลักฐานการเงินอย่างอื่นไปด้วย เช่น จดหมายรับรองทุน หรือ Bank Statement


3) ผลสอบ TOEFL คะแนนขั้นต่ำ Reading 19, Speaking 20, Listening 17, Writing 21, and Total 80 จัดส่งโดยตรงไปยังมหาวิทยาลัยโดย ETS


ขั้นตอนที่ 3 แยกเอกสารที่จะจัดส่งไปยังภาควิชา มีดังนี้


1) จดหมายรับรอง 3 ฉบับ จากอาจารย์ และ/หรือ หัวหน้าหน่วยงาน ใส่ในซองปิดผนึกและให้ผู้รับรองเซ็นต์ชื่อด้านหลังซอง


2) Personal Statement ความยาว 1-2 หน้า โดยให้มีเนื้อหาตามกรอบคำถามต่อไปนี้


    - What is your background and academic interests?


    - Why did you decide to study public administration at the graduate level?


    - What are your professional goals?


    - How does an MPA degree fit into your short and long-term plans for your professional career?


3) ประวัติส่วนตัว (Resume)


4) ตัวอย่างงานเขียนเชิงวิชาการไม่เกิน 8-10 หน้า


5) ผลสอบ GRE (ถ้าไม่สมัครขอรับทุนจากภาควิชาจะส่งหรือไม่ส่งคะแนน GRE ก็ได้)


6. ส่งเอกสารครบถ้วนแล้วก็รอจดหมายตอบรับจากมหาวิทยาลัย


ต้นเดือนมีนาคม 2553 ได้รับจดหมายตอบปฏิเสธจาก University of Delaware และ University of Georgia โดยไม่ได้ให้เหตุผลว่าทำไมถึงไม่รับ (T.T) แอบเสียใจนิดนึง แต่ไม่เป็นไรเพราะ University of Illinois at Chicago ที่เราอยากเรียนจริงๆ ยังไม่ตอบกลับมา ยังไงก็ตาม... เราก็ควรจะเริ่มร้อนใจขึ้นมาอีกสักนิด สมัครมหาวิทยาลัยเพิ่มอีกดีกว่า ทีนี้เลือกสมัครไปฝั่งอังกฤษบ้าง 

สมัครมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษ



ขั้นตอนสมัครมหาวิทยาลัยในประเทศอังกฤษไม่มีอะไรยาก แบ่งได้เป็น 2 แบบ


1. สมัครผ่านบริษัทเอเจนซี่


เราไปใช้บริการของบริษัท Hands On Education Consultants (สำนักงานอยู่ที่อาคารกมลสุโกศล ชั้น 11 อยู่ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้าศาลาแดง โทร. 02 635 5230) พอบอกสาขาที่เราต้องการไปเรียน จนท.ก็จะค้นรายละเอียดหลักสูตรของมหาวิทยาลัยมาให้เลือก และมีใบสมัครให้กรอกที่สำนักงานได้เลย ถ้าเราเตรียมเอกสารต่างๆ ไปครบแล้ว จนท.ก็จะเอาไป scan ไว้ส่งให้มหาวิทยาลัย  


การสมัครผ่านบริษัทเอเจนซี่ไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ และใบสมัครพร้อมเอกสารต่างๆ เอเจนซี่ก็จะช่วยจัดส่งไปให้มหาวิทยาลัยให้เราด้วย แต่ถ้ามหาวิทยาลัยต้องการเอกสารเพิ่มเติมหรือเอกสารฉบับจริงเราก็ค่อยจัดส่งไปที่อังกฤษเอง 


เราสมัครไป 3 ที่ ได้แก่ University of Manchester, University of Liverpool และ University of Exeter  


ผลการตอบรับจากมหาวิทยาลัย เป็นดังนี้


University of Manchester  ใช้เวลา 2 สัปดาห์ก็ตอบกลับมาว่าคอร์สเต็ม


University of Liverpool – ใช้เวลา 5 สัปดาห์ตอบรับให้เข้าเรียนโดยให้ส่งทรานส์คริปต์ป.โทฉบับจริงไปที่มหาวิทยาลัยแล้วจึงจะออก CAS Number เพื่อใช้ในการสมัครวีซ่านักเรียนอังกฤษ


University of Exeter – ใช้เวลา 18 สัปดาห์ตอบรับให้เข้าเรียนโดยให้ส่งผลคะแนน TOEFL ฉบับจริง


2. สมัครด้วยตัวเองโดยใช้ระบบออนไลน์ของมหาวิทยาลัย


ไหนๆ ก็ย้ายค่าย ปันใจมาให้ฝั่งอังกฤษบ้างแล้ว สมัครเพิ่มเองอีกสัก 1 ที่แล้วกัน เราเลือกโปรแกรมของ University of York โดยกรอกใบสมัครออนไลน์ และอัพโหลดเอกสารต่างๆ ที่ scan ไว้ แต่จดหมายรับรอง 3 ฉบับ ต้องส่งฉบับจริงไปทางไปรษณีย์ (ใช้ไปรษณีย์ไทยค่า... ประหยัดค่าใช้จ่าย)


5 สัปดาห์นับจากวันที่มหาวิทยาลัยได้รับเอกสารครบ ก็มีจดหมายตอบรับให้เข้าเรียนโดยมีเงื่อนไขว่าให้เราไปสอบ IELTS โดยจะต้องมีคะแนนรวมไม่น้อยกว่า Band 6.5 เมื่อมหาวิทยาลัยได้รับผลคะแนนภาษาอังกฤษแล้วจึงจะออก CAS Number 


สมัครมหาวิทยาลัยในประเทศเนเธอแลนด์


จากเกาะอังกฤษลองเปลี่ยนโลเคชั่นมาเป็นมหาวิทยาลัยในยุโรปบ้าง เราเลือกโปรแกรมของ Wageningen University เนื่องจากเคยได้ยินว่าที่นี่เป็นมหาวิทยาลัยอันดับหนึ่งด้านการวิจัยทางวิทยาศาสตร์กายภาพและการเกษตรของเนเธอแลนด์ พิจารณาหลักสูตรแล้วก็เป็นอีกมหาวิทยาลัยนึงที่น่าเรียน ^o^ กรอกใบสมัครออนไลน์ และส่งเอกสารต่างๆ ที่ scan ไว้ไปทางอีเมล์ แต่ปรากฏว่ามีออโต้อีเมล์ตอบกลับว่าไม่ได้รับไฟล์ที่แนบ จึงต้องส่งเอกสารฉบับจริงไปที่มหาวิทยาลัยโดย DHL


คนประเทศนี้ทำงานไวมากๆ เลยค่ะ เพียง 3 สัปดาห์นับจากวันที่มหาวิทยาลัยได้รับเอกสารครบ ก็มีจดหมายตอบรับให้เข้าเรียนโดยไม่มีเงื่อนไข ^O^


เป็นที่น่าดีใจนะเนี่ยที่ได้รับการตอบรับให้เข้าเรียนจากหลายมหาวิทยาลัย ^o^ หลังจากพิจารณาทบทวนดีแล้ว ตัวเลือกอันดับหนึ่งของเราก็ยังเป็นที่ UIC เราจึงส่งอีเมล์ยืนยันการเข้าเรียนไปที่ผู้ประสานงานของภาควิชาและส่งจดหมายขอบคุณไปยังมหาวิทยาลัยที่ตอบรับมาพร้อมกับบอกว่าเราตอบตกลงแล้วที่จะไปเรียนที่ University of Illinois at Chicago ในเทอมฤดูใบไม้ร่วง 2010 ^o^

Comments